วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2559

จุดมุ่งหมายของการอ่าน



จุดมุ่งหมายของการอ่าน
๑. การอ่านเพื่อการศึกษาค้นคว้า
            คือ ต้องการได้รับความรู้จากเนื้อเรื่องที่อ่าน เช่น การอ่านหนังสือประเภทตำรา สารคดี หรือหนังสืออ่านเพิ่มเติมของนักเรียนและนักศึกษา เพื่อรู้และเข้าใจเรื่องราวตามหลักสูตร และอ่านวารสาร หนังสือพิมพ์ และข้อความต่าง ๆ เพื่อให้ทราบเรื่องราวอันเป็นข้อความรู้ หรือเหตุการณ์บ้านเมือง บ้านเมือง ผู้ประกอบอาชีพต่างๆก็ต้องอ่านเพื่อเพิ่มพูนความรู้ในสาขาอาชีพของตน หรือเพื่อทำความเข้าใจวิทยาการใหม่ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าแม้แต่ในหนังสือประเภทบันเทิงคดีสำหรับบุคคลทั่วไป ก็ยังให้ความรู้ควบคู่ไปกับความบันเทิง เพราะบุคคลทั่วไปอ่านหนังสือต่างๆ เพื่อขยายความรู้ ความสนใจ ให้กว้างขวาง
๒. การอ่านเพื่อความบันเทิง            
                 บุคคลบางประเภทมีความชอบที่จะอ่านเพื่อความบันเทิงมากกว่าอ่านเพื่อความรู้ เนื่องจากว่า ความบันเทิงเป็นอาหารทางใจซึ่งมีความจำเป็นต่อชีวิตของมนุษย์เช่นเดียวกันกับอาหารและอากาศ จึงมักจะเลือกอ่านแต่หนังสือที่ส่งเสริมสุขภาพจิตให้แจ่มใส มีความสุข คนไทยเรานั้นใช้การอ่านเป็นเครื่องให้ความบันเทิงใจมาเป็นเวลาติดต่อกันนานหลายปีแล้ว เห็นได้จากนิทานร้อยแก้วและนิทานคำกลอนสำหรับอ่าน กลอนเพลงยาว นิราศ ตลอดจนวรรณกรรมอื่นๆที่ถูกแต่งขึ้นอย่างมากมายและหลากหลายในสมัยก่อน ล้วนแต่มีส่วนให้ความบันเทิงใจแก่ผู้อ่านทั้งสิ้น จวบจนปัจจุบันนี้ก็มียัง นวนิยาย เรื่องสั้น สารคดี การ์ตูนมีภาพประกอบต่างๆ มากมายเพื่อสร้างรอยยิ้มความสนุกสนานเพลิดเพลินให้กับผู้อ่านโดยวิธีการอ่านง่ายๆและสามารถทำ ได้หลายโอกาส เช่น ระหว่างที่คอยบุคคลที่นัดหมาย คอยเวลารถไฟออก เป็นต้น หรืออ่านหนังสือประเภทบันเทิงคดีในเวลาว่าง
๓. การอ่านเพื่อความคิดหรือเพื่อสนองความต้องการอื่นๆ     นอกจากความต้องการในการหาความรู้และความบันเทิงแล้ว คนบางคนยังแสวงหา คำตอบอื่นๆให้กับตนเอง ไม่ว่าจะเป็นแนวความคิดทางปรัชญา วัฒนธรรม จริยธรรม และความ
 คิดเห็นทั่วไป ที่จะมักแทรกอยู่ในหนังสือแทบทุกประเภท การศึกษาแนวคิดของผู้อื่น เพื่อเป็นแนวทางความคิดของตนเองและอาจนำมาเป็นแนวปฏิบัติใน การดำเนินชีวิต หรือแก้ปัญหาต่าง ๆ หรืออ่านเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ กล่าวคือการอ่านหนังสือมากๆ  จะช่วยให้ผู้อ่านสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ดี รู้จักการวางตัวที่เหมาะสม มีความคิดกว้างขวาง
 ทันสมัย สามารถแก้ปัญหาและตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง โดยอาจเรียนรู้จากเรื่องราวในหนังสือที่ เป็นคติสอนใจหรือเป็นอุทาหรณ์
  ๒. วิธีการอ่านเพื่อต้องการศึกษาค้นคว้า             
                  จะต้องรู้ว่าต้องการศึกษาเรื่องอะไร แล้วจึงเลือกหาหนังสือที่จะค้นคว้าโดยการพิจารณาจากประเภทของหนังสือ เมื่อได้หนังสือที่ต้องการแล้ว จะต้องพิจารณาจากส่วนประกอบที่สำคัญของหนังสือ เพื่อให้ประโยชน์ทางการศึกษาโดยตรง คือ
 ๑.๑ คำนำ 
            จะเป็นส่วนที่ผู้แต่งหนังสือจะบอกถึงจุดมุ่งหมายในการแต่ง สาระสำคัญของเรื่องและบางครั้งยังบอกวิธีการใช้หนังสือไว้ในคำนำ จึงทำให้เรารู้จักผู้แต่งได้มากขึ้น
    ๑.๒ สารบัญ
             จะเป็นตัวบอกขอบเขตของเนื้อหาว่ากล่าวถึงอะไรบ้าง ลำดับก่อนหลังของเนื้อหา และส่วนประกอบของหนังสือ เช่นภาคผนวก ดัชนี เป็นต้น ดังนั้นหน้าสารบัญที่ละเอียดจึงมีส่วนช่วยอำนวยความสะดวกในการศึกษาค้นคว้าแก่ผู้อ่าน
หนังสือไม่จำเป็นจะต้องมีสารบัญทุกเล่ม สารบัญจำเป็นต้องมีในหนังสือประเภทที่มีหัวข้อเนื้อหาหลากหลายเรื่องรวมอยู่ในเล่มเดียว เช่น นิตยสาร วารสาร หรือหนังสือเพื่อการค้นคว้า เป็นต้น หนังสือที่ไม่จำเป็นต้องมีสารบัญ เช่น นวนิยาย นิทาน บทละคร เป็นต้น
        ๑.๓ บัญชีตารางและบัญชีภาพ 
            มีในหนังสือบางประเภท เช่น รายงานการวิจัย ตำราและเอกสารทางวิชาการ เพื่อบอกให้ผู้อ่านทราบว่า ตารางแสดงสถิติตัวเลข แผนภูมิหรือภาพประกอบอยู่ในหน้าใดของหนังสือ จะช่วยให้ศึกษาได้สะดวกยิ่งขึ้น
      ๑.๔ เนื้อเรื่อง 
           สำหรับการอ่านเพื่อศึกษาค้นคว้า ผู้ศึกษาจะต้องรู้ว่าตนเองต้องการจะค้นคว้าอย่างละเอียดทั้งเรื่อง หรือ ค้นคว้าเฉพาะเรื่อง หากต้องการจะค้นคว้าทั้งเรื่อง ผู้อ่านต้องพยายามจับใจความในแต่ละย่อหน้าและแต่ละบทให้ได้ เมื่ออ่านจบ ต้องสามารถสรุปเนื้อหาในแต่ละย่อหน้าเรียบเรียงเป็นหนึ่งบทและสามารถเรียบเรียงแต่ละบท มาสรุปเป็นเรื่องเดียวกันได้
การอ่านที่ต้องการค้นคว้าเฉพาะเรื่อง หมายถึงเรื่องย่อยๆที่กล่าวในบางตอนของหนังสือหรือวารสาร ผู้อ่านจะต้องเลือกเนื้อหาโดยอาศัยสารบัญเป็นสำคัญ สิ่งที่ควรจะฝึกให้เป็นนิสัยก็คือ อ่านให้ตลอดทีละย่อหน้า จับใจความของย่อหน้านั้นๆให้ได้ เมื่ออ่านจบแล้วจึงค่อยสรุปใจความออกมาเป็นหนึ่งบทเช่นเดียวกันกับการค้นคว้าทั้งเรื่อง
        การค้นคว้าทั้งสองแบบนั้น ควรจะใช้การบันทึกประกอบด้วยเพื่อให้เกิดการศึกษาที่เป็นระบบ จะช่วยอำนวยความสะดวกแก่การลำดับความสำคัญและการจดจำ
    ๑.๕ ภาคผนวก 
           รวบรวมเรื่องที่อ้างอิงและข้อเขียนที่หาอ่านได้ยากไว้ท้ายเล่ม แม้ไม่ใช่เนื้อหาโดยตรงที่แท้จริง แต่จะช่วยขยายความรู้ ความเข้าใจและความคิดเกี่ยวกับเนื้อหาได้มาก
  ๑.๖บรรณานุกรม
          คือ หนังสืออ้างอิงที่ผู้แต่งใช้ประกอบในการเขียนหนังสือเรื่องนั้น เรื่องลำดับไว้ตามตัวอักษรชื่อผู้แต่ง ผู้ศึกษาค้นคว้าควรดูรายละเอียดในส่วนนี้ด้วย เพราะบางครั้งจะต้องติดตามเรื่องที่อ้างอิงในหนังสือเล่มนั้น
      ๑.๗ ดัชนี
          คือ ส่วนสุดท้ายของหนังสือ ช่วยในการหาเนื้อหาที่ต้องการศึกษา สำหรับผู้ศึกษาที่มีเวลาน้อย จะรวบรวมเอาชื่อและคำต่างๆที่มีในหนังสือ พร้อมกับบอกหมายเลขหน้าเอาไว้
  ๓. วิธีอ่านเพื่อความคิดหรือเพื่อสนองความต้องการอื่นๆ
                   คือ ความต้องการที่จะหาข้อคิด คำแนะนำในการดำรงชีวิต ในการแก้ปัญหาต่างๆ เช่น การเสริมสร้างบุคลิกภาพของตนเอง  ส่งเสริมหน้าที่การงาน หรือยกระดับจิตใจ  เป็นต้น ซึ่งควรจะต้องอ่านให้เหมาะสม คือ
       ๑. สำรวจตนเองว่าขณะนี้ต้องการอะไร และเลือกหนังสือให้ตรงกับความต้องการของตนเอง
 เช่น มีความสามารถต้องการสมัครงานแต่รู้ว่าตนเองมีบุคลิกที่ไม่ดี ก็ควรหาหนังสือประเภทส่งเสริมบุคลิกภาพให้ดูน่าเชื่อถือ น่าไว้วางใจ เป็นต้น
๒. อ่านอย่างช้าๆ ตีความหมายในเนื้อเรื่องให้แจ่มแจ้ง
               เมื่ออ่านจบแล้วจะต้องรู้ว่าสิ่งที่อ่านมาทั้งหมดนั้นสนองความต้องการของตัวเองแล้วหรือไม่ มีส่วนใดที่น่าพึงใจและประทับใจ การอ่านแบบนี้เป็นการอ่านที่เน้นประโยชน์จากการอ่านเป็นสำคัญ ไม่ว่าผู้อ่านจะเป็นคนระดับไหนก็ตาม แต่สามารถที่จะเข้าใจตนเอง พัฒนาตนเอง มีความสุขจากการได้อ่านหนังสืออย่างเข้าใจถ่องแท้ ประโยชน์ก็จะเกิดแก่เขาผู้นั้น














ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น