จุดมุ่งหมายของการอ่าน
๑. การอ่านเพื่อการศึกษาค้นคว้า
คือ
ต้องการได้รับความรู้จากเนื้อเรื่องที่อ่าน เช่น การอ่านหนังสือประเภทตำรา สารคดี
หรือหนังสืออ่านเพิ่มเติมของนักเรียนและนักศึกษา
เพื่อรู้และเข้าใจเรื่องราวตามหลักสูตร และอ่านวารสาร หนังสือพิมพ์ และข้อความต่าง
ๆ เพื่อให้ทราบเรื่องราวอันเป็นข้อความรู้ หรือเหตุการณ์บ้านเมือง บ้านเมือง
ผู้ประกอบอาชีพต่างๆก็ต้องอ่านเพื่อเพิ่มพูนความรู้ในสาขาอาชีพของตน
หรือเพื่อทำความเข้าใจวิทยาการใหม่ๆ
อันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าแม้แต่ในหนังสือประเภทบันเทิงคดีสำหรับบุคคลทั่วไป
ก็ยังให้ความรู้ควบคู่ไปกับความบันเทิง เพราะบุคคลทั่วไปอ่านหนังสือต่างๆ
เพื่อขยายความรู้ ความสนใจ ให้กว้างขวาง
๒. การอ่านเพื่อความบันเทิง
บุคคลบางประเภทมีความชอบที่จะอ่านเพื่อความบันเทิงมากกว่าอ่านเพื่อความรู้
เนื่องจากว่า
ความบันเทิงเป็นอาหารทางใจซึ่งมีความจำเป็นต่อชีวิตของมนุษย์เช่นเดียวกันกับอาหารและอากาศ
จึงมักจะเลือกอ่านแต่หนังสือที่ส่งเสริมสุขภาพจิตให้แจ่มใส มีความสุข
คนไทยเรานั้นใช้การอ่านเป็นเครื่องให้ความบันเทิงใจมาเป็นเวลาติดต่อกันนานหลายปีแล้ว
เห็นได้จากนิทานร้อยแก้วและนิทานคำกลอนสำหรับอ่าน กลอนเพลงยาว นิราศ
ตลอดจนวรรณกรรมอื่นๆที่ถูกแต่งขึ้นอย่างมากมายและหลากหลายในสมัยก่อน
ล้วนแต่มีส่วนให้ความบันเทิงใจแก่ผู้อ่านทั้งสิ้น จวบจนปัจจุบันนี้ก็มียัง นวนิยาย
เรื่องสั้น สารคดี การ์ตูนมีภาพประกอบต่างๆ
มากมายเพื่อสร้างรอยยิ้มความสนุกสนานเพลิดเพลินให้กับผู้อ่านโดยวิธีการอ่านง่ายๆและสามารถทำ
ได้หลายโอกาส เช่น ระหว่างที่คอยบุคคลที่นัดหมาย คอยเวลารถไฟออก เป็นต้น
หรืออ่านหนังสือประเภทบันเทิงคดีในเวลาว่าง
๓.
การอ่านเพื่อความคิดหรือเพื่อสนองความต้องการอื่นๆ
นอกจากความต้องการในการหาความรู้และความบันเทิงแล้ว คนบางคนยังแสวงหา
คำตอบอื่นๆให้กับตนเอง ไม่ว่าจะเป็นแนวความคิดทางปรัชญา วัฒนธรรม จริยธรรม และความ
คิดเห็นทั่วไป
ที่จะมักแทรกอยู่ในหนังสือแทบทุกประเภท การศึกษาแนวคิดของผู้อื่น
เพื่อเป็นแนวทางความคิดของตนเองและอาจนำมาเป็นแนวปฏิบัติใน การดำเนินชีวิต
หรือแก้ปัญหาต่าง ๆ หรืออ่านเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ กล่าวคือการอ่านหนังสือมากๆ
จะช่วยให้ผู้อ่านสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ดี รู้จักการวางตัวที่เหมาะสม
มีความคิดกว้างขวาง
ทันสมัย
สามารถแก้ปัญหาและตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง โดยอาจเรียนรู้จากเรื่องราวในหนังสือที่
เป็นคติสอนใจหรือเป็นอุทาหรณ์
๒. วิธีการอ่านเพื่อต้องการศึกษาค้นคว้า
จะต้องรู้ว่าต้องการศึกษาเรื่องอะไร
แล้วจึงเลือกหาหนังสือที่จะค้นคว้าโดยการพิจารณาจากประเภทของหนังสือ
เมื่อได้หนังสือที่ต้องการแล้ว จะต้องพิจารณาจากส่วนประกอบที่สำคัญของหนังสือ
เพื่อให้ประโยชน์ทางการศึกษาโดยตรง คือ
๑.๑ คำนำ
จะเป็นส่วนที่ผู้แต่งหนังสือจะบอกถึงจุดมุ่งหมายในการแต่ง
สาระสำคัญของเรื่องและบางครั้งยังบอกวิธีการใช้หนังสือไว้ในคำนำ
จึงทำให้เรารู้จักผู้แต่งได้มากขึ้น
๑.๒ สารบัญ
จะเป็นตัวบอกขอบเขตของเนื้อหาว่ากล่าวถึงอะไรบ้าง ลำดับก่อนหลังของเนื้อหา
และส่วนประกอบของหนังสือ เช่นภาคผนวก ดัชนี เป็นต้น
ดังนั้นหน้าสารบัญที่ละเอียดจึงมีส่วนช่วยอำนวยความสะดวกในการศึกษาค้นคว้าแก่ผู้อ่าน
หนังสือไม่จำเป็นจะต้องมีสารบัญทุกเล่ม
สารบัญจำเป็นต้องมีในหนังสือประเภทที่มีหัวข้อเนื้อหาหลากหลายเรื่องรวมอยู่ในเล่มเดียว
เช่น นิตยสาร วารสาร หรือหนังสือเพื่อการค้นคว้า เป็นต้น
หนังสือที่ไม่จำเป็นต้องมีสารบัญ เช่น นวนิยาย นิทาน บทละคร เป็นต้น
๑.๓ บัญชีตารางและบัญชีภาพ
มีในหนังสือบางประเภท เช่น
รายงานการวิจัย ตำราและเอกสารทางวิชาการ เพื่อบอกให้ผู้อ่านทราบว่า
ตารางแสดงสถิติตัวเลข แผนภูมิหรือภาพประกอบอยู่ในหน้าใดของหนังสือ
จะช่วยให้ศึกษาได้สะดวกยิ่งขึ้น
๑.๔ เนื้อเรื่อง
สำหรับการอ่านเพื่อศึกษาค้นคว้า
ผู้ศึกษาจะต้องรู้ว่าตนเองต้องการจะค้นคว้าอย่างละเอียดทั้งเรื่อง หรือ
ค้นคว้าเฉพาะเรื่อง หากต้องการจะค้นคว้าทั้งเรื่อง
ผู้อ่านต้องพยายามจับใจความในแต่ละย่อหน้าและแต่ละบทให้ได้ เมื่ออ่านจบ
ต้องสามารถสรุปเนื้อหาในแต่ละย่อหน้าเรียบเรียงเป็นหนึ่งบทและสามารถเรียบเรียงแต่ละบท
มาสรุปเป็นเรื่องเดียวกันได้
การอ่านที่ต้องการค้นคว้าเฉพาะเรื่อง
หมายถึงเรื่องย่อยๆที่กล่าวในบางตอนของหนังสือหรือวารสาร
ผู้อ่านจะต้องเลือกเนื้อหาโดยอาศัยสารบัญเป็นสำคัญ
สิ่งที่ควรจะฝึกให้เป็นนิสัยก็คือ อ่านให้ตลอดทีละย่อหน้า
จับใจความของย่อหน้านั้นๆให้ได้
เมื่ออ่านจบแล้วจึงค่อยสรุปใจความออกมาเป็นหนึ่งบทเช่นเดียวกันกับการค้นคว้าทั้งเรื่อง
การค้นคว้าทั้งสองแบบนั้น
ควรจะใช้การบันทึกประกอบด้วยเพื่อให้เกิดการศึกษาที่เป็นระบบ
จะช่วยอำนวยความสะดวกแก่การลำดับความสำคัญและการจดจำ
๑.๕ ภาคผนวก
รวบรวมเรื่องที่อ้างอิงและข้อเขียนที่หาอ่านได้ยากไว้ท้ายเล่ม
แม้ไม่ใช่เนื้อหาโดยตรงที่แท้จริง แต่จะช่วยขยายความรู้
ความเข้าใจและความคิดเกี่ยวกับเนื้อหาได้มาก
๑.๖บรรณานุกรม
คือ
หนังสืออ้างอิงที่ผู้แต่งใช้ประกอบในการเขียนหนังสือเรื่องนั้น
เรื่องลำดับไว้ตามตัวอักษรชื่อผู้แต่ง
ผู้ศึกษาค้นคว้าควรดูรายละเอียดในส่วนนี้ด้วย เพราะบางครั้งจะต้องติดตามเรื่องที่อ้างอิงในหนังสือเล่มนั้น
๑.๗ ดัชนี
คือ ส่วนสุดท้ายของหนังสือ
ช่วยในการหาเนื้อหาที่ต้องการศึกษา สำหรับผู้ศึกษาที่มีเวลาน้อย
จะรวบรวมเอาชื่อและคำต่างๆที่มีในหนังสือ พร้อมกับบอกหมายเลขหน้าเอาไว้
๓.
วิธีอ่านเพื่อความคิดหรือเพื่อสนองความต้องการอื่นๆ
คือ ความต้องการที่จะหาข้อคิด
คำแนะนำในการดำรงชีวิต ในการแก้ปัญหาต่างๆ เช่น
การเสริมสร้างบุคลิกภาพของตนเอง ส่งเสริมหน้าที่การงาน
หรือยกระดับจิตใจ เป็นต้น
ซึ่งควรจะต้องอ่านให้เหมาะสม คือ
๑. สำรวจตนเองว่าขณะนี้ต้องการอะไร
และเลือกหนังสือให้ตรงกับความต้องการของตนเอง
เช่น
มีความสามารถต้องการสมัครงานแต่รู้ว่าตนเองมีบุคลิกที่ไม่ดี
ก็ควรหาหนังสือประเภทส่งเสริมบุคลิกภาพให้ดูน่าเชื่อถือ น่าไว้วางใจ เป็นต้น
๒. อ่านอย่างช้าๆ
ตีความหมายในเนื้อเรื่องให้แจ่มแจ้ง
เมื่ออ่านจบแล้วจะต้องรู้ว่าสิ่งที่อ่านมาทั้งหมดนั้นสนองความต้องการของตัวเองแล้วหรือไม่
มีส่วนใดที่น่าพึงใจและประทับใจ การอ่านแบบนี้เป็นการอ่านที่เน้นประโยชน์จากการอ่านเป็นสำคัญ
ไม่ว่าผู้อ่านจะเป็นคนระดับไหนก็ตาม แต่สามารถที่จะเข้าใจตนเอง พัฒนาตนเอง
มีความสุขจากการได้อ่านหนังสืออย่างเข้าใจถ่องแท้ ประโยชน์ก็จะเกิดแก่เขาผู้นั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น