เกณฑ์ในการเลือกวรรณกรรม
๑.
การเลือกวรรณกรรมที่มีเนื้อหาสาระตรงกับความสนใจและความต้องการ
ผู้อ่านจะต้องตั้งคำถามกับตนเองว่า ต้องการอ่านอะไร อ่านเพื่ออะไร เช่น
อ่านเพื่อความรู้เพื่อการศึกษา หรืออ่านเพื่อความบันเทิง เป็นต้น
แล้วจึงเลือกหนังสือ โดยเลือกจากประเภทของหนังสือ ผู้เขียนและแนวเขียน ดังนั้น
การแสวงหาความรู้เกี่ยวกับหนังสือต่างๆจึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเลือกวรรณกรรม
๒. การเลือกวรรณกรรมที่ดี มีคุณค่า
คือ
เป็นวรรณกรรมที่ให้ประโยชน์กับผู้อ่าน มีคุณค่าแก่ชีวิตโดยเฉพาะในด้านจิตใจ
๒.๑ เนื้อหาความคิดดี
คือ วรรณกรรมที่ผู้แต่ง
เขียนขึ้นด้วยความคิดสร้างสรรค์ มีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ต่อจิตใจของผู้อ่าน
วรรณกรรมที่มีเนื้อหาความคิดดีควรมีลักษณะดังนี้
- คิดบริสุทธิ์ หมายถึง ผู้แต่งคำนึงถึงความถูกต้อง ความดีงาม
ความเป็นธรรม โดยไม่มอมเมาหรือชักจูงผู้อ่านให้คิดตามตนเองโดยไม่คิดอย่างมีเหตุผล
- คิดสร้างสรรค์ หมายถึง
เขียนเพื่อมุ่งให้ประโยชน์แก่ผู้อ่านโดยเฉพาะในด้านจิตใจ ก่อให้เกิดความจรรโลงใจ
กล่าวคือ ทำให้จิตใจรู้สึกผิดชอบชั่วดีและยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น
ตระหนักในความถูกต้องยุติธรรม
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผู้เขียนอาจสอดแทรกลงไปในข้อเขียนบางตอน
เพื่อให้แง่คิดแก่ผู้อ่าน โดยอาจเขียนไว้ในบทสนทนาของตัวละคร อุปนิสัยส่วนตัว
หรือการดำเนินเรื่อง เป็นต้น
๒.๒ กลวิธีการแต่งดี
กลวิธีการแต่งเป็นศิลปะเฉพาะตัวของผู้แต่ง
ซึ่งทำให้วรรณกรรมมีคุณภาพต่างกันไป
เราสามารถพิจารณากลวิธีการแต่งได้จากการใช้ภาษาและองค์ประกอบอื่นๆ เป็นต้น
ภาษาที่ใช้ในวรรณกรรม
ซึ่งนับว่าดีควรมีลักษณะดังนี้
๑. ถูกต้องตามลักษณะภาษาไทย คือ
ใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้ภาษาไทย เช่น
ใช้คำราชาศัพท์เหมาะสม ใช้ลักษณนามถูกต้อง เป็นต้น
๒.
สื่อความหมายได้ตามที่ต้องการ คือ
ใช้คำได้ตรงความหมาย ชัดเจน อ่านเข้าใจง่าย ลำดับประโยคและข้อความได้ดี
ไม่ก่อให้เกิดความสับสน แบ่งวรรคตอนถูกต้อง
๓. มีความเหมาะสมประการต่างๆ คือ
ภาษาที่ใช้เหมาะสมกับวัยและระดับความรู้ของผู้อ่าน
มีความเหมาะสมกับโอกาสในการเขียนและประเภทของหนังสือ
๔. ใช้ภาษาอย่างประณีต คือ
ใช้ภาษาที่สละสลวยไพเราะ น่าประทับใจ
องค์ประกอบอื่นๆที่ใช้ในการพิจารณากลวิธีการแต่ง ได้แก่
๑.
เลือกวิธีการเขียนที่สอดคล้องกับประเภทหนังสือและเนื้อหา
หนังสือแต่ละประเภทมีวิธีการเขียนที่แต่งต่างกันออกไป
หนังสือบางเรื่องเหมาะกับการเขียนแบบตรงไปตรงมา
บางเรื่องเหมาะกับการใช้โวหารและความคิดเปรียบเทียบ โดยเฉพาะหนังสือประเภทร้องกรอง
ที่ผู้แต่งจะต้องเลือกคำประพันธ์ที่สอดคล้องกับเนื้อหา เช่น ฉันท์
เหมาะกับเนื้อหาที่สูงส่งเป็นแบบแผน กลอน เหมาะกับการพรรณนาโดยละเอียด เป็นต้น
๒.
เลือกใช้ส่วนประกอบหนังสืออย่างเหมาะสม
เช่น แผนภูมิ แผนภาพ รูปภาพ ตาราง แผนที่ คำประพันธ์จากที่อื่น
๓. การจัดระบบดี คือ ระบบการจำแนกหัวข้อ
การกำหนดขนาดและรูปแบบตัวอักษร รวมถึงการจัดหน้า รูปเล่มและความชัดเจนในการพิมพ์
๒.๓ มีประโยชน์
หรืออาจกล่าวได้ว่า “
เป็นสิ่งที่ผู้อ่าน
อ่านแล้วนำไปใช้ ”
- ความบันเทิง คือ ให้ความพอใจ เพลิดเพลิน
ความสุขใจที่ได้รับจากการอ่าน ด้วยเนื้อเรื่องหรือรสไพเราะของถ้อยคำ
- ความรู้ คือ ให้ความรู้
การเคลื่อนไหว ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ
- คติธรรม คือ ให้แง่คิด
สิ่งเตือนใจที่เป็นประโยชน์
- ปรัชญา คือ แนวคิดที่แสดงออกถึงความแท้จริงของโลกและชีวิต
สิ่งที่เป็นสัจธรรม เช่น ทุกคนย่อมมีความทุกข์
ไม่มีใครบนโลกที่ไม่มีความทุกข์ เกิด แก่
เจ็บ ตาย เป็นสิ่งธรรมดา ทุกสิ่งเมื่อเกิดแล้วย่อมดับไป
- อุดมคติ คือ
ชี้ให้เห็นค่าของความถูกต้อง เที่ยงธรรม ความดี จนเกิดเป็นจิตสำนึก
- การสะท้อนสภาพสังคม คือ
การบรรยายสภาพต่างๆในสังคมมนุษย์อย่างถูกต้องตามจริง ชี้เห็นความจริงที่เกิดขึ้น
ระดับของการอ่าน
แบ่งเป็น 2 ระดับ คือ
๑. อ่านออก
การที่ผู้อ่านรู้จักพยัญชนะ สระและเครื่องหมายต่างๆ สามารถอ่านออกเสียงออกมาเป็นคำได้อย่างถูกต้อง
๒.อ่านเป็น
เป็นการอ่านที่แตกต่างจากระดับแรกโดยสิ้นเชิง เพราะการอ่านเป็นนั้น หมายความว่า
ผู้อ่านจะต้องอ่านได้ถูกต้อง คล่องแคล่ว จับใจความได้ตรงตามที่ผู้เขียนต้องการ
ทราบความหมายของข้อความทุกอย่างรวมถึงความหมายที่ผู้เขียนเจตนาแฝงเร้นไว้ สามารถเข้าใจเจตนาและอารมณ์ของผู้เขียน
ตลอดจนสามารถประเมินคุณค่าและเลือกรับสิ่งดีๆจากงานเขียนนั้นได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกฝนทักษะในการอ่านของตนเองให้มาก
เพื่อที่จะได้อ่านเป็น ซึ่งต้องอาศัยเวลาในการฝึกฝนค่อนข้างนาน
การฝึกอ่านให้เป็น
๑. รู้หลักภาษา
ต้องให้ความสำคัญกับการศึกษาหลักไวยากรณ์ การออกเสียง อักขรวิธี
จนคุ้นชินสามารถอ่านออกเสียงได้ถูกต้องแล้วจึงฝึกฝนตนเองให้เป็นคนอ่านเร็ว
สามารถเข้าใจใจความของข้อความได้เมื่อกวาดสายตาไปตามตัวอักษรที่เรียงกันเป็นคำ
เป็นประโยค โดยที่ไม่ต้องสะกด หรืออ่านออกเสียงใดๆเลย หรือที่เราเรียกกันว่า
การอ่านในใจ นั่นเ
๒. รู้หนังสือ
ต้องรู้จักประเภทของหนังสือ
สามารถแยกแยะประเภทและความแตกต่างของจุดมุ่งหมายในหนังสือแต่ละประเภทได้
รวมทั้งจะต้องรู้ส่วนประกอบต่างๆของหนังสือว่ามีอะไรบ้าง แต่ละส่วนเป็นอย่างไร
จะทำให้สามรถเลือกหนังสือได้ตรงตามความต้องการของตนเอง
ช่วยประหยัดเวลาในการเลือกมากขึ้น
๔. รู้วิธีอ่าน
นอกจากต้องรู้หนังสือและรู้จักเลือกแล้ว จะต้องรู้วิธีอ่าน
ต้องใจกว้างพยายามอ่านหนังสือหลายๆประเภท ไม่อ่านแต่หนังสือที่ชอบ ฝึกให้มีความเป็นกลางในการอ่าน
ยอมรับความคิดที่แตกต่าง ต้องไม่เป็นทาสของหนังสือ อ่านเล่มใดก็คล้อยตามเล่มนั้น
ฝึกตนเองให้เป็นคนที่วิเคราะห์ด้วยเหตุผล ความเป็นจริงและความถูกต้อง
๕. รู้คุณค่า
เมื่อทำได้ทั้ง 4
ข้อในข้างต้นแล้ว สิ่งสำคัญที่ตามมาก็คือจะต้องอ่านแล้วคิดตามตลอดเวลา
ฝึกจับใจความสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อทั้งโดยตรงและโดยอ้อม
เข้าใจอารมณ์และความรู้สึกผู้เขียน ประเมินค่าและแยกแยะสิ่งที่เป็นประโยชน์ออกจากเนื้อเรื่องได้
เมื่ออ่านจบสามารถบอกคุณค่าของหนังสือและสาระที่ได้จากการอ่าน หากทำได้ทั้ง ๕
ข้อจะช่วยให้เข้าถึงคุณประโยชน์ของหนังสือได้อย่างแท้จริง
วิธีอ่านหนังสือ
เนื่องจากการอ่านของแต่ละบุคคลมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน
มีทั้งที่อ่านเพื่อความบันเทิง ความรู้และสนองความต้องการอย่างอื่น
ดังนั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์จากการอ่านอย่างแท้จริง
เราควรจะรู้วิธีการอ่านในแต่ละจุดมุ่งหมาย
๑. วิธีอ่านเพื่อความบันเทิง
ความบันเทิง หมายถึง
ความเพลิดเพลิน สนุกสนาน รื่นรมย์ และความเป็นสุขใจ ผู้อ่านแต่ละคนต้องการความบันเทิงในแบบที่ต่างกัน
บ้างก็เพลิดเพลินกับการอ่านนิทาน นวนิยายที่ต้องใช้จินตนาการ
มีความสุขกับจินตนาการที่ตนสร้าง บ้างก็สนุกสนานเรื่องตลกขบขัน
บ้างก็สุขใจกับการอ่านธรรมะ ปรัชญา คติธรรมที่ให้ความสงบสุขทางใจ
ดังนั้นเพื่อให้เกิดความสุขในการอ่านเราควรจะต้องรู้วิธีการอ่าน ดังนี้
๑. เลือกหนังสือให้ตรงกับความต้องการ
โดยดูจากประเภทของหนังสือว่าเป็นความบันเทิงด้านใด เช่น เรื่องสั้น สารคดีเบาๆ
เรื่องตลกขบขัน เป็นต้น
๒. อ่านคำนำหรือคำปรารภ เพื่อให้เข้าใจจุดมุ่งหมายในการแต่งและรู้จักผู้แต่งมากขึ้น
๓. อ่านอย่างไม่มีอคติหรือจับผิด
ปล่อยใจไปกับเรื่องราวเพื่อรับรสความบันเทิงอย่างเต็มที่
๔. พิจารณาว่าได้อะไรจากการอ่าน ได้แนวคิดอะไร หรือ
ได้ความบันเทิงใจอย่างไร เช่น ปลื้มปิติ สนุกสนาน หรืออิ่มเอมใจ เป็นต้น